Sunday, December 27, 2009

IRONMAN 2 ! ตัวอย่างภาพยนต์แอ็คชั่นที่หลายคนรอคอย

IRONMAN 2

ความมันส์ระเบิดแน่ MAY 2010!




ปล. ตัวร้ายภาคนี้ฟาดแส้ด้วย เห็นแล้วอดนึกไปถึง"นางแมวป่า"ในการ์ตูนเรื่องอื่นไม่ได้

Saturday, December 26, 2009

CLOUDY with a chance of MEAT BALLS เมื่อท้องฟ้าผลิตอาหารให้เราหม่ำ!…การ์ตูนอนิเมชั่นดูสนุก


CLOUDY with a chance of MEAT BALLS เมื่อท้องฟ้าผลิตอาหารให้เราหม่ำ!…การ์ตูนอนิเมชั่นดูสนุก

CLOUDY with a chance of MEAT BALLS เป็นภาพยนต์ การ์ตูนอนิเมชั่นที่สวยงามและสีสรรสดใส ดูสนุก เดินเรื่องฉับไว ตามสไตล์การ์ตูนแนวนี้ CLOUDY with a chance of MEAT BALLS เล่นกับคำถามที่่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถทำให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าแทนที่จะเป็นสายฝน?


หนังเล่าเรื่องของ Filnt Lockwood (ให้เสียงพากษ์โดย Bill Hader) หนุ่มน้อยที่หลงรักการประดิษฐ์เครื่องไม้ เครื่องมือ (Machine) แปลกๆเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกคือสเปรย์ฉีดเท้าทั้งสองเพื่อแก้ปัญหาเชือกรองเท้าหลุด และตอนนั้นเขาอายุแค่เด็กอนุบาลเอง! สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกที่ว่านี้ทำเขาท้อแท้ไปเลยเมื่อพบว่า เจ้าสเปรย์เคลือบเท้าล้างไม่ออก! ดังนั้นมันจึงติดเท้าเขาไปจาโตพร้อมๆกับเสียงหัวเราะของเพื่อนๆในชั้นเรียน


Filnt Lockwood ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เขาประดิษฐ์สิ่งต่างๆออกมาเยอะมากแต่ทั้งหมดไม่เคยทำงานตามที่ออกแบบไว้ (ไม่ work) จนกระทั้งเขาสร้าง Machine เปลี่ยนน้ำให้เป็นอาหารสำเร็จ !

Version หนังสือครับซึ่งหนังได้แรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี 1978 หลังผมเกิดไม่กี่ปีเอง แต่ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้วยัง…


ทำไมต้องดูเรื่องนี้?

หนังดูสนุกตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย
ไอเดียเกี่ยวกับอาหารที่หล่นจากฟ้าจนคุณดูจบต้องรีบเข้าครัวทำสปาเก็ตตี้ หรือสั่งพิซซ่ามาทาน ดังนั้นไม่แนะนำให้ดูก่อนนอนถ้าไม่อยากอ้วน
ภาพสวยสด สีสรรได้ใจ
การเดินเรื่องที่รวดเร็ว ครบ 80 นาทีเต็ม
ประโยคคมๆในหนังมีเยอะและข้อคิดดีๆที่หนังสอดแทรก ผมสรุปออกมาได้ดังนี้ครับ “อย่าท้อถอย ทำขี้เลอะก็เช็ดให้สะอาดซะ”
มุขเกี่ยวกับอาหารที่ดูแล้วขำปนยิ้มมีให้เห็นทุกห้านาที
เครดิตตอนเปิดเรื่องเล่นเอาขำครับ “The Film by A LOT OF PEOPLE” เอากับมันซิ…

ดูจบแล้วเวลาเดินออกไปนอกบ้านลองแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าเผื่อจะมีของอร่อยๆตกลงมาบ้างครับ


เรื่องนี้ให้ 4 ดาวครึ่งเต็มห้าดาวครับ
Supernova Blog Story

Friday, December 25, 2009

AVATAR - Official International Launch Trailer (HD)

ตัวอย่างภาพยนต์เรื่อง AVATAR จากยูทูป ครับ

ดูแค่ตัวอย่างก็ตื่นเต้นแล้ว ดนตรีประกอบ ตัวอย่างซีนที่ใส่มาใน Trailer ลงตัวมาก


ตัวอย่างภาพยนต์เรื่อง AVATAR จากยูทูป


ท่านใดที่ยังไม่ได้ไปชม รีบไปดูโดยด่วน นี่คือหนังไซไฟแฟนตาซีที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้เลยครับ

Ender’s game เกมพลิกโลก สุดยอดนิยายไซไฟจาก Orson Scott Card


Ender’s game เกมพลิกโลก

Ender’s Game
ผู้แต่ง : Orson Scott Card
ผู้แปล : ดร. ยรรยง เต็งอำนวย
ราคา : 279 บาท


ฉบับภาษาไทยแปลโดย ดร.ยรรยง เต็งอำนวย สนพ. ASK MEDIA
ผมอ่านเรื่อง Ender’s game จบเป็นรอบที่สองเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แตกต่างจากการอ่านครั้งแรกตรงที่ ครั้งที่สองจะอ่านแบบละเมียดและละเอียดกว่า ค่อยๆซึมซับเรื่องราวและสร้างจินตภาพจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษให้เป็น จินตนาการที่แจ่มชัดในความคิด..
ผมอ่านรวดเดียวจบ โดยไม่รู้สึกเบื่อไม่ว่าจะเป็นบทไหน

Ender’s game เป็นนิยายที่เขียนโดย Orson Scott Card กวาดรางวัลชนะเลิศ Hugo และ Nebula Award (รวมถึงเล่มสองที่เป็นภาคต่อของนิยายเรื่องนี้ด้วย ถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อเรื่อง วาทกะ แด่ผู้ล่วงลับ หรือในชื่อภาษาอังกฤษคือ Speaker for the dead)

เอนเดอร์เกม เล่าเรื่องผ่านมุมมองของ แอนดรู วิกกิน ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กชายอายุเพียงหกขวบ แต่ต้องจากครอบครัวเพราะถูกเลือกให้ไปปฎิบัติภาระกิจระดับโลกคือ ฝึกเพื่อเป็นนายทหารบัญชาการรบกับพวกแมง (มนุษย์ต่างดาว) ที่มารุกรานโลก
เรื่องราวเริ่มจาก เอนเดอร์ถูกปลดเครื่องตรวจการณ์ออกและถูกนำตัวขึ้นไปฝึกที่สถานีนอกโลก เพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมหลายมิติของอวกาศ ก่อนจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่ซึ่งมีคอมพิวเตอร์จำลองพวกแมงในสถานการณ์ที่เอน เดอร์ต้องเผชิญหลังจากผ่านการฝึกและต้องลงสนามจริง
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายไซไฟที่ลึกซึ้งมากๆครับ ยิ่งสามบทสุดท้ายแล้วเต็มไปด้วยปรัชญาและแนวคิดที่ดีเยี่ยม (บางแนวคิดสามารถนำไปต่อยอดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องอื่นได้อีก) และที่สำคัญคุณจะต้องอึ้งกับการหักมุมในตอนจบที่คาดไม่ถึง (ไม่ขอเฉลยครับ)
สำนวนการแปลของคุณยรรยง ดีมากๆ อ่านแล้วอาจจะมีกลิ่นขนม นมเนยของภาษาต้นฉบับบ้าง (ทำให้อ่านไม่ค่อยลื่น) แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถรับอรรถรสของภาษาต้นฉบับได้เกือบเต็มร้อย (เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ น่าจะอ่านยาก ผมเดานะครับ)
ในแง่เนื้อหาหรือแนวคิดทางด้านไซไฟ ออสัน ได้คิดเทคโนโลยีที่เรียกว่า แอนซิเบิ้ล ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องรอให้คลื่นสัญญาณเดินทางในอวกาศ แต่เป็นการสื่อสารแบบทันดีทันใดที่ผู้รับและผู้ส่งสารสามารถคุยกันได้หรือ โต้ตอบกันได้ทันทีแม้จะอยู่คนละซีกของจักรวาลหรือทางช้างเผือก
ในแง่ของกลวิธีงานเขียน ออสันเล่าเรื่องผ่านตัวเอกได้สมบูรณ์แบบ ไม่เน้นอธิบายในสิ่งที่ไม่จำเป็นเช่นฉากบางฉาก หรือเครื่องมือเครื่องใช้ แต่จะเน้นที่ความรู้สึกนึกคิดของแอนเดอร์มากกว่า ท่านใดจะศึกษากลวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้สามารถอ่านเรื่องนี้ได้ครับ

เกมพลิกโลก อาจจะหาซื้อยากครับ เพราะหนังสือวางแผงนานแล้ว มากกว่าสองปี และผมไม่เห็นมีการพิมพ์ซ้ำมาก่อน เดาว่าแนวนี้คงขายยากและแฟนนิยายไซไฟมีน้อยกว่าแนวกุ๊กกิ๊ก แต่ท่านใดที่เป็นแฟนแนวไซไฟไม่ควรพลาดครับ ลองหาซื้อดูที่คิโนะคุนิยะ สาขาสยามพารากอน น่าจะยังเหลืออยู่
อ่านจบแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่า นิยายเรื่องนี้ชนะเลิศรางวัลเนบิวลากับฮิวโกได้ยังไง
ขอบคุณ สนพ. ASK MEDIA ครับที่ซื้อ license นิยายสุดยอดเรื่องนี้มาให้อ่าน และขอบคุณ ดร.ยรรยงด้วยครับ ที่แปลนิยายดีๆแบบนี้ออกมา
เรื่อง Speaker for the dead ผมยังไม่ได้อ่านครับ ซื้อไว้นานแล้ว ยังไม่มีเวลาสร้างอารมณ์เพื่ออ่าน พลิกดูแล้วเนื้อหาเครียดกว่าเล่มแรกเยอะ และที่สำคัญ Speaker for the dead ก็ได้รางวัลเนบิวลากับฮิวโก้ด้วยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
www.askmedia.co.th/book/show_book.php?id=23

เปิดตำนานแห่งมหากาพย์พิทักษ์จักรวาลของเอนเดอร์ วิกกิน

เมื่อโลกถูกรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว ทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตนับล้านอยู่ในกำมือของยอดขุนพลที่จะนำพาโลก ให้พ้นจากมหันตภัยนี้

เอนเดอร์ วิกกิน เด็กน้อยอัจฉริยะ ได้รับคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสัประยุทธ์ สถาบันเพาะบ่มเหล่าจอมทัพแห่งกองกำลังพิทักษ์โลก ภายใต้การฝึกฝนที่นำเอาเด็กอัจฉริยะจากทั่วทุกสารทิศมาเล่นเกมแข่งกัน ผนวกกับแผนการลับที่คอยกำหนดเงื่อนไขในการฝึกที่แสนหนักหน่วงเกินกว่าใครจะ คาดคิด เอนเดอร์จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ และก้าวสู่การเป็นวีรบุรุษแห่งมวลมนุษยชาติได้หรือไม่ ติดตามได้ใน “เกมพลิกโลก”

การันตีความสนุก ด้วยดีกรีสารพัดรางวัล ยอดขายดีติดอันดับกว่าสิบปี และกำลังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์โดย Wolfgang Petersen ผู้กำกับ Air Force One และ Troy

Amazon.com Bestseller / BarnsAndNoble.com Bestseller
ชนะเลิศรางวัลฮิวโก (รางวัลยอดเยี่ยมของนวนิยายไซไฟแฟนตาซีในอเมริกา)
ชนะเลิศรางวัลเนบิวลา (รางวัลยอดเยี่ยมของนวนิยายไซไฟแฟนตาซีในอเมริกา)
An American Library Association “Best Books for Young Adults”
An American Library Association “100 Best Books for Teens”
Modern Library “Reader’s 100 Best Novels”

ไอแซคอาซิมอฟ…เจ้าพ่อนิยายไซไฟตลอดกาล



พอดีได้ค้นหาข้อมูลของนิยายแนวไซไฟเรื่องสถาบันสถาปนาโดยใช้ google ก็เลยไปพบกับ link นี้เข้าครับ wikipedia ใครอยากเห็นภาพปกหนังสือซีรี่ย์นิยายไซไฟเรื่องสถาบันสถาปนาทั้งสิบเล่มที่ แปลเป็นภาษาไทยและวางขายโดย สนพ. provision ต้องเข้า link นี้ครับ
สถาบันสถาปนา wikipedia

ท่านใดอยากจะซื้อให้ครบทั้งสิบ คงต้องสั่งไปที่ สนพ. provision ครับ เพราะตามร้านหนังสือใหญ่ๆ เช่น B2S, SE-ED, นายอินทร์ หรือแม้แต่คิโนะคุนิยะก็ไม่มีขายครับ (ทำไมไม่มีหว่า สงสัยจริงๆ)
Lego Star Wars - Christmas Special by blobstudios



เจอคลิปนี้ในยูทูป ครับ ... ขำๆ คิดได้ยังไง กว่าจะถ่ายแต่ละเฟรมนี่ต้องมีความอดทนอย่างมากเพื่อจะได้ clip ความยาวสองนาทีกว่า
เครดิต
Lego Star Wars - Christmas Special

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova) ตอนที่ 2


6) เริ่มต้นนิยายที่กลางเรื่อง

เบน โบวา แนะนำให้เราเริ่มต้นนิยายที่กลางเรื่องครับ คือเรามี plot เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ แทนที่เราจะเขียนโดยเริ่มจากตอนต้นไปเรื่อยๆจนถึงตอนกลางและตอนจบ เราก็จับเอาเหตุการณ์สำคัญที่ตั้งใจจะให้เกิดตอนกลางเรื่องมาขึ้นก่อนเลย สิ่งที่เราจะเล่าคือ ตัวละครกำลังย่ำแย่เพราะถูกปัญหารุมเร้า ส่วนเรื่องแบ็คกราวด์ของตัวละครที่เรา หรือหลายๆคนมักจะเริ่มเล่าตอนแรกนั้น


เราสามารถนำส่วนนี้แทรกไว้ในเรื่องได้ในทุกๆช่วงครับ เพราะการฮุคหรือ hook ผู้อ่านเอาไว้ด้วยเหตุการณ์สำคัญๆนั้นเป็นเทคนิคการเขียนที่สามารถดึงผู้ อ่านให้อ่านหรือพลิกไปหน้าต่อไปได้จนไม่สามารถวางหนังสือลง

(เจ้าของ blog ขอแนะนำเพิ่มเติมครับ ท่านใดที่สนใจการเขียนแบบ hook คนอ่านแบบเทคนิคระดับเซียน ผมแนะนำให้เอา นิยายของ ฮาลาน โคเบน ทุกเล่มมาอ่านครับ)

ในเรื่องสั้น ด้วยความที่หน้ากระดาษจำกัด ดังนั้นการเข้าเรื่องให้เร็วจึงสำคัญกว่าการที่เราจะมาพล่ามบ่นหรือเล่าไป เรื่อยๆ เราสามารถใส่แบ็คกราวด์ รายละเอียดของตัวละครได้จากการกระทำหรือบทสนทนาครับ (Show don’t tell หรือแสดงให้เห็นดีกว่าบอกตรงๆ)

Saturday, December 19, 2009

AVATAR (December 2009) ไปดูมาแล้ว…สุดยอดหนังไซไฟแฟนตาซีที่ดีที่สุดของโลก!

วันที่ 19 ธันวาคม ผมไปชมภาพยนต์เรื่อง AVATAR ที่โรงฯ ระบบ 3D มาครับ เซ็นทรัลบางนา

AVATAR หรือชื่อไทยคือ อวตาร เล่าเรื่องของ เจค นาวิกโยธินพิการที่ขาสองข้าง อาสาไปดาวแพนโดราเพื่อสวม”ร่าง”ที่สร้างขึ้นมาจาก ดีเอ็นเอของชนเผ่าNa’vi (เผ่าพื้นเมืองที่อยู่บนดาวแพนโดรา) นำมารวมกับมนุษย์ และสิ่งที่ค้นพบในที่สุดไม่ใช่ความโหดร้ายของพวกต่างดาวพวกนั้น แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งจิตใจเต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงว่าจะใช้วิธีไหนเพื่อให้ ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

โดยสรุป ถ้าจะให้เล่าเรื่องอวตาร แบบสั้นๆ จริงๆแล้ว plot เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากครับ “มนุษย์ไปดาวแพนโดราเพื่อเอาแร่ที่มีมูลค่าสูง แต่ต้องฆ่ามนุษย์ต่างดาวหรือพวก Na’vi ซะก่อนจึงจะแร่มา สงครามระหว่างมนุษย์กับชาวพื้นเมืองจึงเกิดขึ้น”

สาเหตุที่คุณต้องดูเรื่อง AVATAR

1 เจม คาเมรอน … ชื่อนี้การันตีความสนุก จากเครดิตเก่าๆคือเรื่อง TITANIC, เอเลี่ยน, คนเหล็ก การกลับมาหลังจากหายไป 12 ปีคือความมหัศจรรย์
2 เทคนิคพิเศษที่จะตรึงสายตาคุณไว้ตลอด 3 ชั่วโมง จนคุณแยกไม่ออกว่าฉากไหนเป็นภาพจริง ฉากไหนเป็นภาพที่เกิดจากคอมพิวเตอร์
3 การเล่าเรื่องที่มีจังหวะ ได้อารมณ์
4 บทพูด บทสนทนาที่คม เฉียบขาดกว่าหนังไซไฟดาดๆทั่วไป
5 ตัวละคร CG แสดงสีหน้าได้สมจริงมากๆ ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ในเรื่อง
6 ดนตรีประกอบที่ยิ่งใหญ่ สอดใส่เข้ามาถูกจังหวะในแต่ละเหตุการณ์หรือฉาก
7 สิ่งละอันพันละน้อย (สัตว์กับพืชต่างดาวบนดาวแพนโดร่า) ที่ถูกคิดขึ้นมา จนเราอดทึ่งไม่ได้ว่าคิดได้ยังไง
8 เหตุการณ์ในเรื่องเกิดเมืิ่อปี คศ. 2154 … ข้อมูลนี้ผมดูจากวันเวลาบนจอมอนิเตอร์ video log ของพระเอกครับ
9 ฉากสู้รบกลางอากาศที่เห็นแล้วทึ่งสุดๆ เพราะนำเอาตัวละคร ทั้งสัตว์ ยานรบ มาโรมรันพันตูกัน
10 ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา จะโค่นยังไง?
11 ไอเดียการคิดร่างกายของชนเผ่านาวีให้สูงใหญ่กว่ามนุษย์
12 การแสดงที่สุดยอดของนักแสดงนำทั้ง แซม เวิร์ทธิงตัน,โซ ซัลดาน่า,ซิกอร์นี่ย์ วีเวอร์,สตีเฟ่น แลงก์ (คนนี้เล่นเป็นหัวหน้าทหารได้เลวถึงใจมาก)

ความละม้ายคลายคลึง

1 เนื้อเรื่องคลายกับการ์ตูน โพคาฮอนตัส ผมเรียกมันว่า โพคาฮอนตัสฉบับอวกาศ
2 การรุกรานของมนุษย์ต่อชนพื้นเมือง นี่ขนาดปี 2154 แล้วนะ มนุษย์ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยชอบรุกราน และแย่งเอามาของตัวเอง
3 เพลงตอน end credit ที่คล้ายกับ my heart will go on ของซิลีน ดิออน
4 เทคนิคการสวมจิตลงร่างใหม่ อ่านเจอได้ในนิยายไซไฟ เก่าๆหลายเรื่องครับ

ไม่รู้ว่าจะมีหนังของเจม คาเมรอนมาให้เราดูอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นท่านที่เป็นแฟนเจม ทั้งแฟนพันธุ์แท้หรือไม่แท้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ผมคิดว่า เรื่องนี้มีหลายคนที่ดูในโรงอย่างน้อยสองรอบ


Data from WIKIPEDIA

http://en.wikipedia.org/wiki/Avatar_(2009_film)
Directed by James Cameron
Produced by James Cameron
Jon Landau
Written by James Cameron
Starring Sam Worthington
Zoë Saldaña
Stephen Lang
Michelle Rodriguez
Giovanni Ribisi
Sigourney Weaver
Music by James Horner
Cinematography Mauro Fiore
Editing by James Cameron
John Refoua
Stephen E. Rivkin
Studio Lightstorm Entertainment
20th Century Fox
Dune Entertainment
Ingenious Film Partners
Distributed by 20th Century Fox
Release date(s) London
December 10, 2009 (2009-12-10)
United Kingdom
02009-12-17 December 17, 2009
United States
02009-12-18 December 18, 2009
Running time 161 minutes[1]
Country United States
United Kingdom
Language English
Budget $237,000,000[2]
Gross revenue $27,000,000[3]

Friday, December 18, 2009

หนังสือภาพยนต์ฉบับ AVATAR ครับ

คุ้มค่าทั้งสองเล่มกับการบันทึกประวัติศาสตร์เรื่องยิ่งใหญ่จากฝีมือ เจมส์ คาเมรอน
ทั้งสองเล่มมีข้อมูลเบื้องหลังเรื่อง AVATAR เพียบเลยครับ!
STARPICS



FILMAX

The Host (2006) ไซไฟชั้นดี สัตว์ประหลาดจากแม่น้ำฮานของเกาหลี



The Host หรือ The Host (괴물, Gwoemul - "Monster") ฉายปี 2006 เป็นหนังไซไฟสัตว์ประหลาดเขมือบคนจากนักสร้างหนังสัญชาติเกาหลี หนังดูสนุก ตื่นเต้นทุกฉาก และได้อารมณ์ เทคนิคพิเศษในการสร้างสัตว์ก็ทำได้ดีเยี่ยมจนน่าทึ่งว่าเกาหลีก็เก่งไม่แพ้ฮอลลีวู้ด!


หนังนำเสนอเรื่องราวของสัตว์ประหลาดจากแม่น้ำผ่านตัวละครแบบครอบครัวได้ถึงใจและอารมณ์ ปิดจบโดยไม่ทำร้ายจิตใจคนดู
เรื่องนี้ผมให้ 5 ดาวเลยครับ


ข้อมูล
Hangul 괴물
Hanja 怪物
RR Goemul
MR Koemul
Directed by Bong Joon-ho
Produced by Choi Yong-Bae
Written by Baek Chul-hyun
Bong Joon-ho
Starring Song Kang-ho
Byeon Hee-bong
Park Hae-il
Bae Doona
Ko Ah-seong
Music by Lee Byung-woo
Cinematography Kim Hyung-ku
Editing by Kim Sun-min
Distributed by Showbox
Release date(s) South Korea:
July 27, 2006
United Kingdom:
November 10, 2006
United States:
March 9, 2007
Running time 119 min.
Country South Korea
Language Korean
English
Budget $11,000,000
Gross revenue $89,106,383 (worldwide)
ข้อมูลจาก wikipedia

Dreamcatcher (2003) ยึดฝันควบคุมความคิด

Dreamcatcher สร้างจากนิยายขายดีของนักเขียน ราชา นิยายสยองขวัญที่ชื่อ สตีเฟน คิงก์... กำกับโดย Lawrence Kasdan

Dreamcatcher เล่าเรื่องเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวเพื่อไปหาเพื่อนในวัยเด็กที่เกี่ยวพันกับสิ่งมีชีวิตที่มาจาก...(อันนี้ไม่บอกครับ ต้องดูเอง) ในการที่จะจัดการมัน

เรื่องนี้ผมจัดให้เป็นหนังไซไฟที่น่าดูอีกเรื่อง ดูสนุก แปลก และไอเดียของเรื่องที่เจ๋งเข้าท่า
ผมไม่เคยอ่านนิยายครับ เพราะไม่มี version แปลเป็นภาษาไทย แต่ version ภาพยนต์สนุกมากๆ

ฉากที่ติดตาคือเหตุการณ์ฉากหนึ่งที่เกิดในห้องน้ำครับ เป็นยังไงนั้นต้องหามาดูเอง
ในเมืองไทย Dreamcatcher อาจจะไม่ทำเงินนัก แต่คอหนัง แฟนหนังของสตีเฟน คิงก์ไม่น่าจะพลาด
บางคนอาจจะไม่ชอบตอนจบ เพราะมันดูง่ายๆตลาดๆ แต่ผมว่ามันก็ลงตัวนะครับ

อยากรู้ว่ามันไซไฟยังไงก็ต้องไม่พลาดหามาชม และดูตอนจบให้ดี

Dreamcatcher ออกฉายในปี 2003 ครับ สตีเฟน คิงก์เขียนนิยายเรื่องนี้ตอนที่พักรักษาตัวจากอุบัติเหตุถูกรถแวนชนในปี 1999
เรื่องนี้ 4 ดาวเต็ม 5 ดาวครับ

Thursday, December 17, 2009

Independence Day 4 (1996) มนุษย์ต่างดาวกับยานยักษ์บุกโลก

ID4 หรือ Independence Day 4

ออกฉายครั้งแรกทั่วโลกในปี 1996 นี่คือหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่ดีที่สุด เนื่องจากขนาดของยานของมนุษย์ต่างดาวที่มีขนาดมหึมากินอาณาบริเวณของท้องฟ้าครอบคลุมเมืองหนึ่งได้สบาย และความร้ายแรงของอนุภาพการยิงลำแสงถล่มมหานครของมนุษย์ชาติ

ผมดูไปสี่รอบครับ ชอบมากๆ เพราะทึ่งที่ผู้กำกับ โรแลน แอมเมอริส (Roland Emmerich) สร้างไอเดียยานอวกาศบิ๊กเบิ้มได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ตัวอย่างหนังโปรโมทก่อนฉายที่แปลกตา แค่ยานอวกาศปล่อยแสงใส่ทำเนียบขาว แค่นี้ก็ดึงความสนใจคนทั่วโลกได้สบายๆ

ข้อมูลDirected by Roland Emmerich
Produced by Dean Devlin
Written by Dean Devlin
Roland Emmerich
Starring Will Smith
Bill Pullman
Jeff Goldblum
Mary McDonnell
Judd Hirsch
Robert Loggia
Randy Quaid
Margaret Colin
Vivica A. Fox
Music by David Arnold
Cinematography Karl Walter Lindenlaub
Editing by David Brenner
Distributed by 20th Century Fox
Release date(s) July 2, 1996
Running time 145 min. (Theatrical)
153 min. (Special Edition)
Country United States
Language English
Budget US$70–75 million[1][2]
Gross revenue Domestic:
US$306,169,268[3]
Worldwide: US$817,400,891[3]
ข้อมูลจาก wikipedia


ท่านใดยังไม่เคยชม แนะนำให้หามาดูครับ เรื่องนี้ผมให้ห้าดาวเต็มเลยครับ
ล่าสุด โรแลน แอมเมอริส นำเสนอหายนะในรูปของแผ่นดินแยกใน 2012->คลิ๊กเพื่ออ่าน ได้อย่างสะใจและน่าทึ่งกับ special effect จนต้องอุทานออกมา "แม่เจ้าโว้ย มันสุดยอดสมจริงมาก"

The Fly (1986) เมื่อมนุษย์รวมร่างกับแมลงวัน


The Fly ในชื่อภาษาไทยว่า ไอ้แมลงวันสยองพันธุ์ผสม ออกฉายนานมากแล้วครับ จัดเป็นหนังไซไฟสยองขวัญอีกเรื่อง

ภาพติดตาในเรื่องนี้คือ ฉากกลายร่างของพระเอก (จำชื่อไม่ได้) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแมลงวัน ฉากตอนที่เล็บหลุดติดตาอย่างที่สุด

เรื่องนี้อาจจะหาชมยากสักนิด เพราะหนังออกฉายตั้งปี 1986 แต่ในเวป bit น่าจะมี


The Fly จัดเป็นหนังไซไฟคลาสสิกอีกเรื่องที่ขึ้นทำเนียบคลาสสิกไปแล้ว จนมีภาคสองตามมาในปี 1989

ภาคแรกยังคงคลาสิก ภาคสองเป็นเรื่องของลูกชายพระเอก สารภาพตรงๆว่าผมจำเนื้อหาภาคสองไม่ได้เลย



The Fly II

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova)

บทความนี้คัดมาจาก blog ผมที่ Pantip.com ครับ กะว่าจะเอามารวบรวมไว้ที่นี่ ที่เดียวเลย

ผมอ่านเทคนิคงานเขียนของ Ben Bova ตั้งนานแล้วครับ… เป็นบทความที่ได้จาก internet กับหนังสือวิธีเขียนเรื่องแนว Sci-fi ฉบับภาษาอังกฤษอีกเล่มหนึ่ง (ในเล่มมีการสอนเทคนิคการเขียนเรื่องแนวไซไฟสลับกับเรื่องสั้นที่นำความรู้ที่ได้เรียนมาใช้ด้วย แต่ภาษาในช่วงเรื่องสั้นอ่านยากมากครับ บางเรื่องถึงขั้นอ่านไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยอ่านเอาแต่เฉพาะภาคทฤษฎีการเขียน) หลังจากนั้นเซฟเก็บไว้ในเครื่อง เห็นว่าแต่เทคนิคละข้อมีประโยชน์มากและเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ จึงอยากจะเอามาแบ่งปันให้กับผู้ที่สนใจ…


หลายท่านอาจจะไม่รู้จัก Ben Bova (ชื่อเต็มคือ Benjamin William Bova) แต่ถ้าท่านที่ชอบอ่านเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ต้องคุ้นๆชื่อของ Ben Bova ดี (เรื่องสั้นของ Ben Bova ที่แปลเป็นภาษาไทยยังไม่เคยเห็นครับ) ตอนนี้ปู่เบน อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผลิตงานเขียนออกมาเยอะมาก เสียดายครับที่ไม่มี สนพ. ไหนของไทยที่ซื้อเรื่องที่ปู่เลนเขียนมาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่าน

ถ้าอยากอ่านงานเขียนของปู่เบนคงต้องหาดาวโหลดเอาครับ ในเวปบิทต่างประเทศมีให้โหลดครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Bova

เทคนิคงานเขียนของ Ben Bova

1 นักเขียนต้องเขียนทุกวัน

“อย่างอ้างว่าไม่มีเวลาเขียนแต่จงหาเวลาเขียน” วันละหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี แต่ขอให้นั่งที่โต๊ะทุกวัน แม้ว่าบางวันจะไม่สามารถ”วางคำ”ลงบนกระดาษได้ก็ตาม (ผมเคยได้ยินมาว่า นักเขียนบางท่านเขียนได้ประโยคเดียวในตอนเช้า และพอตอนเย็นก็ลบประโยคเดียวนั้นทิ้งซะ)

เขียนวันละหน้า เดือนหนึ่งก็ได้สามสิบหน้า พอครบปีก็จะได้หนังสือนิยายหนาๆเล่มหนึ่งเลย

การทำงานเขียนเป็นเรื่องยาก มันง่ายดายมากที่เราจะหาข้ออ้างว่าไม่อยากเขียน ดังนั้นจงหาเวลาเขียนทุกๆวัน ทำให้เป็นนิสัย เรื่องบันเทิงอื่นๆต้องมาเป็นอันดับรองจากงานเขียน

2 นักเขียนต้องอ่านหนังสือให้หลากหลายประเภท

อ่านทุกประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องหรือแนวที่เราสนใจเท่านั้น การอ่านหนังสือหลายประเภททำให้เรามีมุมมองที่หลากหลาย และเป็นวัตถุดิบที่ดีในการนำมาสร้างเรื่องที่จะเขียน ประเภทของหนังสือที่เราสามารถหามาอ่านได้เช่น แนวประวัติศาสตร์ นิยาย ชีวประวัติ ท่องเที่ยว หนังสือนิตยสารเกี่ยวกับการค้นพบในวงการวิทยาศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าและที่เราสนใจ

หนังสือหรือนิตยสารเล่มไหนที่เราอ่านแล้วรู้สึกสนุกในครั้งแรก ให้เราลองกลับไปอ่านอีกรอบแต่ครั้งนี้ให้พยายามดูว่าผู้เขียนใช้กลวิธีหรือเทคนิคในการนำเสนออย่างไร อะไรทำให้เรารู้สึกว่าอ่านแล้วสนุก จดโน๊ตหรือจำเอาไว้เพื่อเอาไปใช้

“เราจะเรียนรู้ได้จากการอ่านและวิเคราะห์สิ่งที่อ่านเพื่อนำไปใช้กับงานเขียนของเรา”

3 เขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก

คำแนะนำสำหรับนักเขียนใหม่ที่เรามักได้ยินเสมอคือ เขียนในสิ่งที่เรารู้ เป็นคำแนะนำที่ดีเพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลทรายถ้าเราไม่เคยเดินทางข้ามทะเลทรายมาก่อน จริงๆแล้วเราอาจจะหาข้อมูลจากการอ่านได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประสบการณ์โดยตรงของเราเอง (ความคิดเห็นของผมเอง : นอกจากว่าเราต้องค้นคว้าอย่างหนักเพื่อเขียนในสิ่งที่เราไม่มีความรู้หรือไม่เชี่ยวชาญ)

การเขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก เพราะตัวละครเป็นหัวใจของนิยายทุกเรื่อง เรื่องที่ดีต้องเริ่มจากตัวละครก่อน ตัวละครที่สร้างขึ้นมาแล้วดูน่าเชื่อถือ สามารถทำให้เรื่องของเราน่าเชื่อถือด้วย แล้วจะสร้างตัวละครจากไหน?

ตัวละครได้มาจากคนที่อยู่รอบๆตัวเรา นักเขียนควรจะสร้างตัวละครขึ้นมาจากต้นแบบที่เป็นคนจริงๆผสมผสานจินตนาการลงไป สร้างตัวละครขึ้นมาจากคนหลายๆคนที่เรารู้จัก ไม่จำเป็นต้องมาจากคนๆเดียวเท่านั้น นักเขียนบางท่านก็สร้างตัวละครขึ้นมาโดยใช้ตัวเองเป็นต้นแบบและนำลักษณะอื่นๆเช่นนิสัย การกระทำของคนที่อยู่รอบๆตัวเข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวา และน่าเชื่อถือ

จงมองผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเรา…มองให้เห็นความรักของพวกเขาเหล่านั้น ความสนุกร่าเริง ปัญหาของพวกเขา ความกลัว ความหวัง ทั้งหมดนี้คือวัตถุดิบที่คุณสามารถนำมาใช้ในงานเขียนหรือนิยายของคุณได้


4 เทคนิคการสร้างเรื่องเพื่อเขียนเป็นนิยาย หรือเรื่องสั้น

นิยายหรือเรื่องสั้นจะเกิดขึ้นได้จาก การที่เรามี”ตัวละคร”กับ”ปัญหา”ที่ตัวละครเราต้องเจอ…มีแค่นี้เองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถสร้างฉาก เขียนบรรยายประโยคซะสวยหรูหรือสร้างตัวละครได้สมจริงมากแค่ไหน แต่ถ้าเรื่องของคุณ ไม่มี”ตัวละครกับปัญหาที่ตัวละครต้องผจญ” เรื่องของคุณจะถูกปฎิเสธจากบรรณาธิการทันทีครับ ดังนั้นท่องไว้ในใจครับว่า “ตัวละคร+ปัญหา=เรื่องที่จะเล่า” เขียนเป็นสมการง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ…อ่านต่อคลิ๊ก More…


ตัวละครหลักที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง (ไม่ว่าจะเป็นตัวละครผู้หญิงหรือผู้ชาย) จะเรียกว่า “ตัวเอก” หรือภาษาอังกฤษคือ protagonist
จงสร้างตัวละครที่สมจริงครับ เพราะคนอ่านเวลาอ่านนิยายของเราเขาอยากจะเป็นตัวละครในนิยายที่อ่าน (ภาษาชาวบ้านท้ายตลาดเรียกว่า “อิน” กับเรื่องครับ) ถ้าเราสามารถสร้างตัวละครให้ไปอยู่ในใจผู้อ่านได้ เมื่อตัวละครเราโศกเศร้า ผู้อ่านก็จะเศร้าตาม ตัวละครหัวเราะหรือดีใจผู้อ่านก็จะเกิดอารมณ์แบบนั้นตามไปด้วย

จงสร้างตัวละครให้มีปมปัญหาในใจ เพราะผู้อ่านจะรู้สึกสงสารตัวละครตัวนั้นไปด้วย “สร้างตัวละครให้เขามีด้านที่อ่อนแอแทนที่จะมีด้านที่แกร่งแต่เพียงอย่างเดียว” โดยปกติแล้ว คนอ่านจะไม่รู้สึกอะไรถ้าตัวละครของเราไม่มีด้านที่อ่อนแอเลย (ภาษาชาวบ้านอีกแล้ว…เรียกว่า ไม่มีใครดีพร้อม เก่งไปซะหมด แม้แต่ซุปเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนของ Marvell เองก็ตามครับ ก็ต้องมีจุดอ่อน อย่างพี่ซุปเปอร์แมนสุดหล่อของเราก็แพ้แท่งคลิปโตไนซ์)

คราวนี้ขั้นตอนล่ะจะทำยังไง การที่จะให้ตัวละครเราตกที่นั่งลำบากโดยจงใจ (จากฝีมือนักเขียนนี่แหล่ะ) มันมีวิธีครับ…ดังนี้เลย

เริ่มจาก “ใส่ปัญหาภายใน (ภายในใจตัวละครเช่น ปมด้อยเรื่องที่เป็นคนโมโหร้าย คิดมาก คิดช้า จนไม่มีใครอยากคบด้วย) และภายนอกให้กับตัวละคร” ปัญหาภายนอกก็เช่นเพื่อนร่วมงานไม่ชอบการวางท่าวางทางของเขา อิจฉาความสามารถของเขาจนคิดจะกำจัดเขา (เว่อร์ไปนิดแต่ก็โอเคอยู่) ตัวละครที่มีปัญหาหรือความขัดแย้ง (conflict) กับตัวเอกเราเรียกตัวละครตัวนั้นว่า antagonist หรือแปลตรงแบบภาษาชาวบ้านว่า “ตัวโกง ปรปักษ์ ศัตรู” อะไรก็แล้วแต่สะดวกจะเรียก

จากนั้นพอเราเตรียมข้างต้นได้ เราก็ทำให้ (เขียน) ปัญหาภายนอกเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้ปัญหาภายในใจตัวเอกทวีความรุนแรงตามไปด้วย ทำให้ตัวเอกรู้สึกว่ารันทดกับชีวิตและยากเย็นเหลือเกินที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดจากตัวละครที่เป็นตัวปรปักษ์ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตัวเอกสามารถแก้ไขปัญหาภายนอกดังกล่าวได้ ปัญหาภายในใจของเขาก็จะถูกแก้ตามไปด้วย…เช่น ถ้าตัวเอกกำจัดตัวโกงได้ ก็จะไม่ใครมาคอยล้อเลียนเรื่องเขาปากเหม้นอีกต่อไปและปมด้อยเรื่องปากเหม็นก็จะไม่มีอีก” ….นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการสร้างเรื่องขึ้นมาครับ

ดังนั้นท่านใดที่เขียนเรื่องทิ้งไว้รอแก้ไข หรือกำลังเขียนเรื่องอยู่ ลองหยุดสักครู่แล้วมองไปที่เรื่องเขียนของเราว่า มีสิ่งที่กล่าวมานี้หรือเปล่า ต่อที่เทคนิคข้อที่ 5 เลยดีกว่า

5 ไม่มีวายร้ายแบบฮาร์ดคอร์100%ในโลกนิยายหรือวรรณกรรม…

ไม่มีวายร้ายหรือ Villain ในนิยาย…

จากเทคนิคข้อสี่ที่เราได้เรียนรู้ สังเกตเห็นว่าปู่เบน โบวาไม่ได้ใช้คำว่าตัวร้าย แทนคำว่า ปรปักษ์หรือศัตรู เพราะในชีวิตจริง (ทางโลกของวรรณกรรม) “ไม่มีใครเป็นตัวร้ายโดยสมบูรณ์แบบ” นั่นหมายความว่า ตัวละครก็ต้องมีสองด้านคือด้านดีและด้านร้ายด้วย และไม่มีใคร (มนุษย์) เลวร้ายถึงขั้นเรียกว่า ปีศาจ ไปได้

ในโลกของนิยายและเรื่องแต่ง มีเพียงแค่ตัวเอกของเรื่องถูกปัญหารุมเร้า และตัวเอกจะต้องแก้ปัญหาเพื่อให้ไปสู่อิสระภาพภายในจิตใจตัวเองและภายนอกกาย นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถเขียนเรื่อง แฮมเล็ต (ไม่ใช่หนูแฮมเตอร์นะครับ…โน๊ตผู้เขียน) จากมุมมองหรือ viewpoint ของ Claudius ซึ่งเป็นกษัติย์ที่สังหารบิดาของแฮมเล็ต และก็แต่งงานกับแม่แฮมเล็ตซะเอง (โอ๊แม่เจ้า…มันร้ายจริงๆ) เราอาจจะเขียนเรื่องจากมุมมองของ Claudius ที่หลงรักภรรยาของน้องชายตัวเอง และกล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวภรรยาซึ่งเป็นแฟนของน้องชายมาครอบครองให้ได้…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตัว Claudius ก็ไม่ใช่ตัวร้าย 100% เพราะมันก็มีส่วนดีบ้างล่ะน่า
คราวหน้าจะมาต่อตอนที่ 6 นะครับ

Jurasic park (1993) เมื่อพันธุวิศวกรรมสร้างสัตว์บิ๊กเบิ้มขึ้นมา

Jurasic park เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากผลงานนิยายไซไฟโดยฝีมือนักเขียนผู้ล่วงลับ ไมเคิล ไครซ์ตัน ...
จูลาสสิก ปาร์ค เป็นเรื่องราวของ การนำ DNA ของไดโนเสาร์ซึ่งอยู่ในยุงถูกแช่เอาไว้ในแท่งอำพัน มาสร้างไดโนเสาร์ด้วยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม เรื่องราวคงไม่จบแบบสยองถ้านักวิทยาศาสตร์และนายทุนหน้าเงินไม่สร้าง ไดโนเสาร์พันธุ์ทีแร็กซ์กับแร็พเปอร์ขึ้นมา!

เทคนิค CGI และ stop motion ทำให้ไดโนเสาร์คืนชีพอย่างน่าตะลึงตา โดยเฉพาะฉากที่ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวยืดคอกินยอดไม้ ฉากนี้จัดเป็นภาพของฉากคลาสสิกที่สุดฉากหนึ่ง

ผมคิดว่าไม่มีใครดูเรื่อง Jurassic แค่รอบหรือสองรอบครับ หนังสร้างออกมาได้ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบด้วยฝีมือกำกับของ สตีเฟน สปิลเบิร์ก
Jurasic Park 1 : สนุก ลงตัว ห้าดาวเต็ม




Jurasic Park 2 (The Lost World) : สนุก แต่ตอนจบไม่น่าเอาไดโนเสาร์ไปเพ้นพ่านในเมืองเลย ต่างจากนิยายไปเยอะ ก็เลยสนุกแค่พอทน สี่ดาวครับ


Jurasic Park 3 : ไม่ได้สร้างจากนิยายครับ พราะไมเคิล ไครซ์ตัน เขียนนิยายเล่มนี้แค่สองภาคเท่านั้น ภาคสามนี้เขียนบทขึ้นมาสร้างขึ้นเพื่อกินบุญเก่าของภาค 1 และ 2 สามดาวครับ




ข้อมูลเพิ่มเติมที่ wikipedia

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟแฟนตาซีที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด (ตอนที่ 3) Gattaca...

Gattaca... เมื่อวิทยาศาสตร์สร้างมนุษย์พร้อมกับเลือกความฉลาด
Gattca เป็นภาพยนต์ sci-fi ออกฉายในปี 1997
ผมให้เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องในดวงใจ การดำเนินเรื่องที่ไม่ตื่นเต้นและทรงพลังในการเล่าเรื่อง ด้วย plot เรื่องที่เป็นแนวไซไฟแบบ hard sci-fi โลกอนาคต รวมถึงดาราที่เล่นอย่างสมบทบาท และตอนจบที่สะเทือนใจพร้อมกับหดหู่ไปด้วย

สิ่งที่ผมชอบที่รองลงมาจาก plot และ concept แนวคิดของเรื่องคือ ชื่อเรื่อง Gattaca ซึ่งนำมาจากตัวย่อของหน่วยย่อยพื้นฐานของดีเอ็นเอ (DNA) คือ adenine (abbreviated A), cytosine (C), guanine (G) and thymine (T) จากนั้นคำเหล่านี้ถูกนำมาเรียงเป็นชื่อ ทำให้สื่อความหมายและเป็นตัวแทนของ story ในเรื่องได้ตรงที่สุด

ข้อมูล
Directed by Andrew Niccol
Produced by Danny DeVito
Written by Andrew Niccol
Starring Ethan Hawke
Uma Thurman
Jude Law
Gore Vidal
Loren Dean
Music by Michael Nyman
Cinematography Slawomir Idziak
Editing by Lisa Zeno Churgin
Distributed by Columbia Pictures
Release date(s) October 24, 1997
Running time 106 minutes
Country United States
Language English
Budget $36 million
Gross revenue $12,532,777

ดารานักแสดงในเรื่อง
• Ethan Hawke as Vincent Freeman
• Uma Thurman as Irene Cassini
• Jude Law as Jerome Eugene Morrow
• Gore Vidal as Director Josef
• Loren Dean as Anton Freeman
• Xander Berkeley as Dr. Lamar
• Jayne Brook as Marie Freeman
• Elias Koteas as Antonio Freeman
• Maya Rudolph as delivery nurse
• Blair Underwood as geneticist
• Ernest Borgnine as head janitor "Caesar"
• Tony Shalhoub as personality trader "German"
• Alan Arkin as Detective Hugo
เรื่องนี้ถ้าจะให้ดาว ผมให้ 5 ดาวเต็มเลยครับ
Credit ข้อมูลจาก wikipedia.com

2012…หนังไซไฟหายนะที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา

เรื่องราวของวันสุดท้ายของมวลมนุษย์ชาติในปี คศ.2012 ซึ่งต้องพบกับภัยภิบัติที่เกิดขึ้นเนื่องจากดาวโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน และเป็นปีสุดท้ายของมนุษย์ตามคำทำนายของชนเผ่าอินคา


ด้วยความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่งจะทำให้คุณลุ้นระทึกไปกับฉากความหายนะที่ เกิดกับโลกของเราในปี คศ.2012 โดยแทบไม่หายใจและตื่นเต้นทุกฉากทุกตอน… อ่านต่อคลิ๊กด้านล่าง

สเปียลเชียลเอ็ฟเฟ็คที่สุดยอด เหมือนจริง เต็มไปด้วยรายละเอียดจะทำให้คุณขนลุกในสิ่งที่เห็น
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากครับ ดูแล้วขนลุก นี่ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างในหนังขึ้นจริงๆ เราจะทำยังไง เท่าที่ดูแล้วโอกาสรอดนี่ 0.00000001% เท่านั้นครับ

ดารา นักแสดง : แสดงได้เยี่ยม
บทภาพยนต์ : เยี่ยมมาก…มีประโยคคมๆให้เห็นเยอะ ตลอดทั้งเรื่อง
Special Effect : สุดยอด คิดว่าถ้าเข้าชิง Oscar ปีหน้า ไม่น่าจะพลาดรางวัลสาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม…สับธงครับ!
อารมณ์ร่วม : เยี่ยมครับ…สำหรับหนังสเกลใหญ่ซึ่งทำได้ขนาดนี้ เพราะต้องสลับกันไประหว่างหายนะและตัวละครอีกเป็นโหลๆ


ไม่อยากให้พลาด หนังแบบนี้ต้องดูในจอใหญ่ในโรงภาพยนต์เท่านั้นครับ แนะนำให้ดูโรงแบบดิจิตอลนะครับ เพราะภาพที่ได้จะคมชัดมากกว่าโรงทั่วไป

ท้ายสุดแล้วมนุษย์ก็แค่เศษธุลีของจักรวาลครับ ไม่รู้จะแบ่งฝ่ายแบ่งพวก แก่งแย่งกันไปทำไม ท้ายสุดแล้วเมื่อถึงเวลาก็ไปจุดหมายปลายทางที่เดียวกันทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า…แต่ถ้าจะต้องตาย ผมขอตายพร้อมคนที่รักหรือครอบครัวดีกว่าครับ หนีไปคงไม่รอด…
ขอบคุณท่านเทพ โรแลน เอ็มเมอริช สำหรับหนังดีๆแบบนี้

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด (ตอนที่ 2)

3) The Terminator (ออกฉายปี 1984)
The terminator หรือคอหนังบ้านเรารู้จักในชื่อไทยว่า คนเหล็ก 2029 เป็นหนังไซไฟแนวหุ่นยนต์จากโลกอนาคตที่ถูกส่งมาตาล่าเพื่อฆ่าคนในอดีตเพื่อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ เปลี่ยนอนาคตให้ได้ตามที่ตนต้องการ

The Terminator ออกฉายปี 984 เป็นภาคแรกของซีรี่ยส์คนเหล็ก นำแสดงโดย Arnold Schwarzenegger กำกับโดย James Cameron (ผู้กำกับเรื่อง Avatar)


Terminator 2 : Judgment Day
หลังจากนั้น ปี 1991 Terminator 2 : Judgment Day คือจุด peak ของซีรี่ยส์คนเหล็ก ซึ่งแฟนๆจะตื่นตาไปกับหุ่น T-1000 (นำแสดงโดย Robert Patrick) ซึ่งถูกส่งมาฆ่าจอห์น คอร์เนอร์ เจ้า T-1000 นี่มีจุดเด่นคือเป็นโลหะเหลว สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเปลี่ยรรูปเป็นวัตถุ เครื่องจักรกลที่ซับซ้อนเช่นปืนหรือระเบิดได้

ดาราที่ร่วมแสดงใน T2
Arnold Schwarzenegger as The Terminator
Linda Hamilton as Sarah Connor
Edward Furlong as John Connor
Robert Patrick as the T-1000
Earl Boen as Dr. Peter Silberman
Joe Morton as Dr. Miles Bennett Dyson
S. Epatha Merkerson as Tarissa Dyson
Castulo Guerra as Enrique Salceda
Danny Cooksey as Tim
Jenette Goldstein as Janelle Voight
Xander Berkeley as Todd Voight
Michael Biehn as Kyle Reese (Special Edition only)

“โดยส่วนตัวเจ้าของ blog คนเหล็กฯ ทั้งสองภาคคือที่จุดของซีรี่ย์เรื่องนี้ ภาคสามหรือสี่ไม่สนุกเท่าสอง
ภาคนี้ ด้าน plot หรือเนื้อหา ความตื่นเต้นยกให้สองภาคแรกเลยครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่า แฟนๆคน
เหล็กน่าจะดูซ้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบ”


เราตื่นเต้นอะไรกับคนเหล็กสองภาคนี้?
1) เทคนิคพิเศษหุ่นโลหะเหลว T-1000 และหุ่น Terminator ซึ่งบางซีนเราจะเห็นถึงเครื่องยนต์กลไกในร่างกาย ในปีนั้นเทคนิคแค่นี้ถือว่า เทพ สุดๆ (เทียบกับสมัยนี้ไม่ได้นะครับ เพราะ CGI สร้างได้ทุกอย่างสมัยนั้นยังเทคโนโลยี CGI ยังไปไม่ไกลเท่านี้เลย)
2) เนื้อเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ฉากไล่ล่า ที่มันส์สะใจ ทั้งบนถนนและในโรงงาน
3) ฉากเปิดตัวคนเหล็ก Terminator พร้อมประโยคเท่ห์ๆ “I will be back”
4) DVD หลาย versionทั้งแบบกล่องเหล็ก และแบบเวอร์ชั่นธรรมดาที่ออกตามมาเพียบ มีให้สะสมจนกระเป๋าแห้งกันไปตามระเบียบ…

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด ตอนที่ 1

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด
วันนี้ตื่นมาพร้อมกับอาการงัวเงีย เพราะนอนมากเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าอาการนอนเยอะเกินไปแทนที่จะทำให้เราสดชื่นตอนตื่นตอน กลับกลายเป็นว่า ทำให้เรารู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มไปซะอย่างนั้น … ทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ทางสายกลาง คือการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป…


วันนี้เลยนั่งคิดว่าจะ post entry อะไรดี นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าของ blog เองชอบ นิยายและภาพยนต์แนวไซไฟ ทำให้ลองนั่งคิดดูว่า ภาพยนต์แนวไซไฟ แฟนตาซีเรื่องไหนคือเรื่องที่อยู่ในดวงใจ นั่งคิดไป คิดมา ได้มากกว่า 10 เรื่อง … เดี๋ยวจะไม่ตรงกับชื่อ enrty นี้ เลยพยายาม บีบ และ ตัด ให้เหลือ 10 เรื่องที่ชอบและน่าชมจริงๆ

ภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด ตามมุมมองและความคิดของเจ้าของ blog นี้ครับ
1 เจาะเวลาหาอดีต Back to the future I,II,III
เรื่องนี้สนุกทุกภาคครับ plot เรื่องเป็น เรื่องไซไฟเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาไปแก้ไขเหตุการณ์และเหตุการณ์นั้นส่ง ผลมายังปัจจุบันด้วย ผลงานชิ้นเยี่ยมของผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคิต (และถัดมา…Forrest Gump ก็เป็นเรื่องเยี่ยมอีกเรื่องที่กวาดออสการ์ไปหลายตัว)





Back to the future ทั้งสามภาคเป็นหนังอีกเรื่องที่นำเสนอการผูก plot ที่ซับซ้อนได้ดีมากๆครับ เหมาะสำหรับการศึกษา plot เพื่องานเขียนหรือสร้างภาพยนต์แนวนี้ครับ

จุดเด่นคือ เนื้อเรื่องทั้งสามภาคเกี่ยวโยงกันอย่างน่าอัศจรรย์ การเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในภาคแรกส่งผลต่อเหตุการณ์ในภาคสามด้วย! ทั้งที่ภาคสอง สามก็สร้างห่างจากภาคแรกเป็นปีๆ

2 Star Wars ทั้งสามภาค

ไม่ต้องคุยโม้เลยครับว่า Star Wars คือสุดยอดมหากาพย์ไซไฟ สงครามอวกาศที่ดีที่สุดที่โลกเคยเห็นมา สตาร์ วอร์สไม่เพียงแต่มีแค่ฉากมันส์ๆเท่านั้นครับ แต่ยังแฝงปรัชญาไว้อย่างมากมาย เรื่องราวของครอบครัว อำนาจ การผจญภัย ความพยายามเอาชนะจิตใจตัวเอง ความตาย และความพลัดพรากถูกรวมเอาไว้ในสตาร์ วอร์ส กำกับการแสดงโดย จอร์จ ลูคัส พ่อมดของฮอลีวู้ดอีกท่านหนึ่ง
จุดเด่นคือ จอร์จ ลูคัส นำมารีเมค ใหม่ในปี 2005

“As of 2008, the overall box office revenue generated by the six Star Wars films has totalled approximately $4.3 billion, making it the third-highest-grossing film series,[1] behind only the James Bond and Harry Potter films”

May the force be with you … ขอพลังจงสถิตอยู่แก่เจ้า

เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อเรื่องที่ 3 ต่อครับ…

ชวนดูหนังสึนามิถล่มเกาหลีครับ…Haeundae 해운대 (แฮอุนแด)

แฮอุนแด Haeundae เป็นหนังไซไฟ แบบวินาศภัยจากสึนามิ (มหาสึนามิ หรือ เมกะสึนามิ) สัญชาติเกาหลี นำแสดงโดยดาราดัง ฮาจีวอนจากเรื่อง Sex is Zero ภาค 1

แฮอุนแดเป็นชื่อของหาดชายฝั่งทะเลชื่อดังของเกาหลีครับ แต่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิ (ที่ไม่ใช่คลื่นสึนามิแบบเด็กๆ แต่เป็นเมกะสึนามิที่มีความสูง
ของยอดคลื่นตอนพัดเข้าถล่มชายฝั่งประมาณ 50 กว่าเมตรถึง 100 เมตร) ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงขนาดไหนก็ไม่มีหลือรอด…

เรื่องราวในหนังเน้นภาพชีวิตผู้คนในครอบครัวที่อาศัยอยู่ตรงชายฝังของหาด ดังกว่า และจู่ๆชีวิตของพวกเขาก็ต้องถึงจุดพลิกผันแบบหน้ามือไปเป็นหลังมือเมื่อ คลื่นยักษ์โถมซัดชายฝังด้วยความเร็ว 800 กม.ต่อชม.ซึ่งได้กลืนกินชีวิตชาวบ้านที่อยู่ชายทะแลและคนที่มาเที่ยวตรงชาย หาด

หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับเจ้าของผลงานหนังเรื่อง Sex is Zero และเรื่อง Miracle on 1st Street รวมถึงหนังแนวเจ้าพ่อ My Boss My Hero โดยความร่วมมือกับ CJ Entertainmentหนังเรื่องนี้เป็นงานยักษ์ที่ทุ่มงบกว่า 15,000 ล้านวอน หรือประมาณ 450 ล้านบาทไทย เนรมิตรทุกอย่างให้ออกมาสมจริง

ความคิดเห็นของผมหลังจากที่ดูเรื่อวนี้จบ
ผมได้ดูเรื่องแฮอุนแดเมื่อคืนนี้เองครับ หนังเปิดเรื่องอย่างเรื่อยๆ ตัดภาพสลับไปที่ครอบครัวหลักๆที่เกี่ยวกับกับชายหาดแฮอุนแด เน้นไปทีละครอบครัวแต่ทุกครอบครัวก็เกี่ยวพันกันอยู่ผ่านทางตัวละครหลักของ เรื่อง ขณะที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวใต้ทะเลจากทางฝั่งญี่ปุ่นถูกเตือนให้ทราบโดยนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล แต่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง (ตามสูตร) และในที่สุดเมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดที่กลับไปดังเดิมไม่ได้ ทุกคนมีเวลาเพียง 10 นาที (ใครจะรอด แค่สิบนาทีเอง) ที่จะหนี ตอนแรกนึกว่าแค่ขึ้นไปตึกสูงๆแล้วจะรอด แต่ที่ไหนได้เจ้ามหาสึนามิมันมาแบบสูงกว่าตึกสิบชั้นอีก ก็ไม่มีทางรอด

เทคนิคพิเศษเนียนพอใช้ ไม่ถึงกับเนียนเท่าหนังฮอลีวู้ดครับ แต่ก็ได้มาตรฐานสากล เสียดายที่หนังไม่ได้เน้นดนตรีประกอบแบบโครมครามตามแบบหนังฮอลีวู้ด และจุดเร่งอารมณ์ไม่ได้เต็มที่นัก เพราะหนังต้องเฉลี่ยให้กับหลายๆครอบครัวที่ต้องใส่เข้ามาในเหตุการณ์ ดังนั้นด้วยความยาวประมาณ 98 นาทีก็เป็นโจทย์ที่โหดเอการสำหรับหนังแบบนี้ ทีาสำคัญฉาก climax ก็ทำได้ดูแล้วสั้นไปนิดครับ ไม่อิ่มและจุใจให้สมกับที่รอมาประมาณเกือบชั่วโมงครึง สรุปแล้วชอบครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นหนังหายนะจากภัยธรรมชาติที่สุดยอดมากนัก หลังจากดูจบก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเราจะเอาตัวรอดยังไง? สามดาวครึ่งเต็มห้าดาวครับ…

Avatar สุดยอดภาพยนต์ไซไฟจากผู้กำกับไททานิค!


Avatar สุดยอดภาพยนต์ไซไฟจากผู้กำกับไททานิค!

“แทบจะอดทนรอดูไม่ไหวแล้วครับ กำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนต์บ้านเราวันที่ 17 พ.ย. 2552 เชื่อว่าฉายรอบแรกจะเกิดปรากฎการณ์คนเยอะจนโรงแตกแน่ๆ
มีให้ชมทั้ง ระบบ 3D ที่โรงแบบ digital pictures กับ IMAX 3D บนจอสูงขนาดตึกกี่ชั้น? (จำไม่ได้แล้ว)”

ข้อมูลเรื่อง Avatar
Title: Avatar
Genre: Science-Fiction
Directed by: James Cameron
Written by: James Cameron
Starring:
Sam Worthinghton, Zoe Saldana, Sigourney Weaver, Stephen Lang, Michelle Rodriguez
Budget: $195 Million ลงทุนสร้าง
Music by: James Horner
Status: In Production
Release Date: December 18, 2009 วันที่ออกฉายทั่วโลก

จากภาพตัวอย่าง น่าจะเป็นแนวไซไฟแฟนตาซีมากกว่าฮาร์ดไซไฟครับ

Avatar : ดนตรีประกอบภาพยนต์ original motion picture soundtrack …

ดนตรีประกอบภาพยนต์ หรือ original motion picture soundtrack …AVATAR


Soundtrack of Avatar

1.”You Don’t Dream in Cryo…”
2.”Jake Enters His Avatar World”
3.”Pure Spirits of the Forest”
4.”The Bioluminescence of the Night”
5.”Becoming One of ‘The People’ Becoming One With Neytiri”
6.”Climbing Up – ‘Iknimaya – The Path to Heaven’”
7.”Jake’s First Flight”
8.”Scorched Earth”
9.”Quaritch”
10.”The Destruction of ‘Hometree’”
11.”Shutting Down Grace’s Lab”
12.”Gathering All the Na’vi Clans for Battle”
13.”War”

“มารอดูกันครับว่า เราจะได้ฟังเพลงหรือดนตรีประกอบหนังเรื่อง Avatar ก่อนหนังเข้าฉายหรือเปล่า จำได้ว่าตอนที่ไททานิคเข้าฉาย ผมได้ฟัง ‘มายฮาทวิวโกออน’ ก่อนหนังลงโรงฉายด้วยซ้ำ … ช่วงก่อนหนังเปิดฉายรอบแรกไม่กี่วันจะค้นในเน็ตดูเพื่อเอามาฟังแล้วจะรีวิว คอมเมนท์ให้อ่านครับ”

AVATAR การกลับมาของราชาไำททานิค เจมส์ คาเมรอน

AVATAR หรือ อวตาร

เรื่องย่อ
"เจค อดีตนาวิกโยธินหนุ่มที่เป็นอัมพาตครึ่งตัว ที่ถูกเรียกมาปฎิบัติหน้าที่ในภารกิจพิเศษที่จะต้องเปลี่ยนร่างกายของเขา (อวตาร) ให้กลายเป็นชาวมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่ที่ดาวแพนดอร่า โดยเจค ต้องเข้าไปสอดแนมในกลุ่มของนาวี เพื่อนำทางให้มนุษย์เข้าไปตักตวงแร่อันมีค่าของที่นั่น แต่ยิ่งเจค ได้สัมผัสชีวิตบนดาว แพนดอร่า มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหลงใหลในความงามของที่นี่มากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดเขาต้องเลือกระหว่างภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายจากโลกและความรัก ความผูกพันที่มีต่อชาวนาวี ในสงครามที่มีอนาคตของโลกมนุษย์เป็นเดิมพัน"

วันที่เข้าฉาย 17 December 2009
นักแสดง Sam Worthington, Zoë Saldaña, Sigourney Weaver, Michelle Rodriguez, Stephen Lang, Joel David Moore, Giovanni Ribisi, CCH Pounder, Dileep Rao, Matt Gerald, Laz Alonso, Peter Mensah, Wes Studi

ข้อมูลจาก เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์

Hello

สวัสดีครับ

Credit blog header from
www.tuvie.com/search/spaceship