Thursday, December 17, 2009

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova)

บทความนี้คัดมาจาก blog ผมที่ Pantip.com ครับ กะว่าจะเอามารวบรวมไว้ที่นี่ ที่เดียวเลย

ผมอ่านเทคนิคงานเขียนของ Ben Bova ตั้งนานแล้วครับ… เป็นบทความที่ได้จาก internet กับหนังสือวิธีเขียนเรื่องแนว Sci-fi ฉบับภาษาอังกฤษอีกเล่มหนึ่ง (ในเล่มมีการสอนเทคนิคการเขียนเรื่องแนวไซไฟสลับกับเรื่องสั้นที่นำความรู้ที่ได้เรียนมาใช้ด้วย แต่ภาษาในช่วงเรื่องสั้นอ่านยากมากครับ บางเรื่องถึงขั้นอ่านไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยอ่านเอาแต่เฉพาะภาคทฤษฎีการเขียน) หลังจากนั้นเซฟเก็บไว้ในเครื่อง เห็นว่าแต่เทคนิคละข้อมีประโยชน์มากและเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ จึงอยากจะเอามาแบ่งปันให้กับผู้ที่สนใจ…


หลายท่านอาจจะไม่รู้จัก Ben Bova (ชื่อเต็มคือ Benjamin William Bova) แต่ถ้าท่านที่ชอบอ่านเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ต้องคุ้นๆชื่อของ Ben Bova ดี (เรื่องสั้นของ Ben Bova ที่แปลเป็นภาษาไทยยังไม่เคยเห็นครับ) ตอนนี้ปู่เบน อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผลิตงานเขียนออกมาเยอะมาก เสียดายครับที่ไม่มี สนพ. ไหนของไทยที่ซื้อเรื่องที่ปู่เลนเขียนมาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่าน

ถ้าอยากอ่านงานเขียนของปู่เบนคงต้องหาดาวโหลดเอาครับ ในเวปบิทต่างประเทศมีให้โหลดครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Bova

เทคนิคงานเขียนของ Ben Bova

1 นักเขียนต้องเขียนทุกวัน

“อย่างอ้างว่าไม่มีเวลาเขียนแต่จงหาเวลาเขียน” วันละหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี แต่ขอให้นั่งที่โต๊ะทุกวัน แม้ว่าบางวันจะไม่สามารถ”วางคำ”ลงบนกระดาษได้ก็ตาม (ผมเคยได้ยินมาว่า นักเขียนบางท่านเขียนได้ประโยคเดียวในตอนเช้า และพอตอนเย็นก็ลบประโยคเดียวนั้นทิ้งซะ)

เขียนวันละหน้า เดือนหนึ่งก็ได้สามสิบหน้า พอครบปีก็จะได้หนังสือนิยายหนาๆเล่มหนึ่งเลย

การทำงานเขียนเป็นเรื่องยาก มันง่ายดายมากที่เราจะหาข้ออ้างว่าไม่อยากเขียน ดังนั้นจงหาเวลาเขียนทุกๆวัน ทำให้เป็นนิสัย เรื่องบันเทิงอื่นๆต้องมาเป็นอันดับรองจากงานเขียน

2 นักเขียนต้องอ่านหนังสือให้หลากหลายประเภท

อ่านทุกประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องหรือแนวที่เราสนใจเท่านั้น การอ่านหนังสือหลายประเภททำให้เรามีมุมมองที่หลากหลาย และเป็นวัตถุดิบที่ดีในการนำมาสร้างเรื่องที่จะเขียน ประเภทของหนังสือที่เราสามารถหามาอ่านได้เช่น แนวประวัติศาสตร์ นิยาย ชีวประวัติ ท่องเที่ยว หนังสือนิตยสารเกี่ยวกับการค้นพบในวงการวิทยาศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าและที่เราสนใจ

หนังสือหรือนิตยสารเล่มไหนที่เราอ่านแล้วรู้สึกสนุกในครั้งแรก ให้เราลองกลับไปอ่านอีกรอบแต่ครั้งนี้ให้พยายามดูว่าผู้เขียนใช้กลวิธีหรือเทคนิคในการนำเสนออย่างไร อะไรทำให้เรารู้สึกว่าอ่านแล้วสนุก จดโน๊ตหรือจำเอาไว้เพื่อเอาไปใช้

“เราจะเรียนรู้ได้จากการอ่านและวิเคราะห์สิ่งที่อ่านเพื่อนำไปใช้กับงานเขียนของเรา”

3 เขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก

คำแนะนำสำหรับนักเขียนใหม่ที่เรามักได้ยินเสมอคือ เขียนในสิ่งที่เรารู้ เป็นคำแนะนำที่ดีเพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลทรายถ้าเราไม่เคยเดินทางข้ามทะเลทรายมาก่อน จริงๆแล้วเราอาจจะหาข้อมูลจากการอ่านได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประสบการณ์โดยตรงของเราเอง (ความคิดเห็นของผมเอง : นอกจากว่าเราต้องค้นคว้าอย่างหนักเพื่อเขียนในสิ่งที่เราไม่มีความรู้หรือไม่เชี่ยวชาญ)

การเขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก เพราะตัวละครเป็นหัวใจของนิยายทุกเรื่อง เรื่องที่ดีต้องเริ่มจากตัวละครก่อน ตัวละครที่สร้างขึ้นมาแล้วดูน่าเชื่อถือ สามารถทำให้เรื่องของเราน่าเชื่อถือด้วย แล้วจะสร้างตัวละครจากไหน?

ตัวละครได้มาจากคนที่อยู่รอบๆตัวเรา นักเขียนควรจะสร้างตัวละครขึ้นมาจากต้นแบบที่เป็นคนจริงๆผสมผสานจินตนาการลงไป สร้างตัวละครขึ้นมาจากคนหลายๆคนที่เรารู้จัก ไม่จำเป็นต้องมาจากคนๆเดียวเท่านั้น นักเขียนบางท่านก็สร้างตัวละครขึ้นมาโดยใช้ตัวเองเป็นต้นแบบและนำลักษณะอื่นๆเช่นนิสัย การกระทำของคนที่อยู่รอบๆตัวเข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวา และน่าเชื่อถือ

จงมองผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเรา…มองให้เห็นความรักของพวกเขาเหล่านั้น ความสนุกร่าเริง ปัญหาของพวกเขา ความกลัว ความหวัง ทั้งหมดนี้คือวัตถุดิบที่คุณสามารถนำมาใช้ในงานเขียนหรือนิยายของคุณได้


4 เทคนิคการสร้างเรื่องเพื่อเขียนเป็นนิยาย หรือเรื่องสั้น

นิยายหรือเรื่องสั้นจะเกิดขึ้นได้จาก การที่เรามี”ตัวละคร”กับ”ปัญหา”ที่ตัวละครเราต้องเจอ…มีแค่นี้เองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถสร้างฉาก เขียนบรรยายประโยคซะสวยหรูหรือสร้างตัวละครได้สมจริงมากแค่ไหน แต่ถ้าเรื่องของคุณ ไม่มี”ตัวละครกับปัญหาที่ตัวละครต้องผจญ” เรื่องของคุณจะถูกปฎิเสธจากบรรณาธิการทันทีครับ ดังนั้นท่องไว้ในใจครับว่า “ตัวละคร+ปัญหา=เรื่องที่จะเล่า” เขียนเป็นสมการง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ…อ่านต่อคลิ๊ก More…


ตัวละครหลักที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง (ไม่ว่าจะเป็นตัวละครผู้หญิงหรือผู้ชาย) จะเรียกว่า “ตัวเอก” หรือภาษาอังกฤษคือ protagonist
จงสร้างตัวละครที่สมจริงครับ เพราะคนอ่านเวลาอ่านนิยายของเราเขาอยากจะเป็นตัวละครในนิยายที่อ่าน (ภาษาชาวบ้านท้ายตลาดเรียกว่า “อิน” กับเรื่องครับ) ถ้าเราสามารถสร้างตัวละครให้ไปอยู่ในใจผู้อ่านได้ เมื่อตัวละครเราโศกเศร้า ผู้อ่านก็จะเศร้าตาม ตัวละครหัวเราะหรือดีใจผู้อ่านก็จะเกิดอารมณ์แบบนั้นตามไปด้วย

จงสร้างตัวละครให้มีปมปัญหาในใจ เพราะผู้อ่านจะรู้สึกสงสารตัวละครตัวนั้นไปด้วย “สร้างตัวละครให้เขามีด้านที่อ่อนแอแทนที่จะมีด้านที่แกร่งแต่เพียงอย่างเดียว” โดยปกติแล้ว คนอ่านจะไม่รู้สึกอะไรถ้าตัวละครของเราไม่มีด้านที่อ่อนแอเลย (ภาษาชาวบ้านอีกแล้ว…เรียกว่า ไม่มีใครดีพร้อม เก่งไปซะหมด แม้แต่ซุปเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนของ Marvell เองก็ตามครับ ก็ต้องมีจุดอ่อน อย่างพี่ซุปเปอร์แมนสุดหล่อของเราก็แพ้แท่งคลิปโตไนซ์)

คราวนี้ขั้นตอนล่ะจะทำยังไง การที่จะให้ตัวละครเราตกที่นั่งลำบากโดยจงใจ (จากฝีมือนักเขียนนี่แหล่ะ) มันมีวิธีครับ…ดังนี้เลย

เริ่มจาก “ใส่ปัญหาภายใน (ภายในใจตัวละครเช่น ปมด้อยเรื่องที่เป็นคนโมโหร้าย คิดมาก คิดช้า จนไม่มีใครอยากคบด้วย) และภายนอกให้กับตัวละคร” ปัญหาภายนอกก็เช่นเพื่อนร่วมงานไม่ชอบการวางท่าวางทางของเขา อิจฉาความสามารถของเขาจนคิดจะกำจัดเขา (เว่อร์ไปนิดแต่ก็โอเคอยู่) ตัวละครที่มีปัญหาหรือความขัดแย้ง (conflict) กับตัวเอกเราเรียกตัวละครตัวนั้นว่า antagonist หรือแปลตรงแบบภาษาชาวบ้านว่า “ตัวโกง ปรปักษ์ ศัตรู” อะไรก็แล้วแต่สะดวกจะเรียก

จากนั้นพอเราเตรียมข้างต้นได้ เราก็ทำให้ (เขียน) ปัญหาภายนอกเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้ปัญหาภายในใจตัวเอกทวีความรุนแรงตามไปด้วย ทำให้ตัวเอกรู้สึกว่ารันทดกับชีวิตและยากเย็นเหลือเกินที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดจากตัวละครที่เป็นตัวปรปักษ์ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตัวเอกสามารถแก้ไขปัญหาภายนอกดังกล่าวได้ ปัญหาภายในใจของเขาก็จะถูกแก้ตามไปด้วย…เช่น ถ้าตัวเอกกำจัดตัวโกงได้ ก็จะไม่ใครมาคอยล้อเลียนเรื่องเขาปากเหม้นอีกต่อไปและปมด้อยเรื่องปากเหม็นก็จะไม่มีอีก” ….นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการสร้างเรื่องขึ้นมาครับ

ดังนั้นท่านใดที่เขียนเรื่องทิ้งไว้รอแก้ไข หรือกำลังเขียนเรื่องอยู่ ลองหยุดสักครู่แล้วมองไปที่เรื่องเขียนของเราว่า มีสิ่งที่กล่าวมานี้หรือเปล่า ต่อที่เทคนิคข้อที่ 5 เลยดีกว่า

5 ไม่มีวายร้ายแบบฮาร์ดคอร์100%ในโลกนิยายหรือวรรณกรรม…

ไม่มีวายร้ายหรือ Villain ในนิยาย…

จากเทคนิคข้อสี่ที่เราได้เรียนรู้ สังเกตเห็นว่าปู่เบน โบวาไม่ได้ใช้คำว่าตัวร้าย แทนคำว่า ปรปักษ์หรือศัตรู เพราะในชีวิตจริง (ทางโลกของวรรณกรรม) “ไม่มีใครเป็นตัวร้ายโดยสมบูรณ์แบบ” นั่นหมายความว่า ตัวละครก็ต้องมีสองด้านคือด้านดีและด้านร้ายด้วย และไม่มีใคร (มนุษย์) เลวร้ายถึงขั้นเรียกว่า ปีศาจ ไปได้

ในโลกของนิยายและเรื่องแต่ง มีเพียงแค่ตัวเอกของเรื่องถูกปัญหารุมเร้า และตัวเอกจะต้องแก้ปัญหาเพื่อให้ไปสู่อิสระภาพภายในจิตใจตัวเองและภายนอกกาย นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถเขียนเรื่อง แฮมเล็ต (ไม่ใช่หนูแฮมเตอร์นะครับ…โน๊ตผู้เขียน) จากมุมมองหรือ viewpoint ของ Claudius ซึ่งเป็นกษัติย์ที่สังหารบิดาของแฮมเล็ต และก็แต่งงานกับแม่แฮมเล็ตซะเอง (โอ๊แม่เจ้า…มันร้ายจริงๆ) เราอาจจะเขียนเรื่องจากมุมมองของ Claudius ที่หลงรักภรรยาของน้องชายตัวเอง และกล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวภรรยาซึ่งเป็นแฟนของน้องชายมาครอบครองให้ได้…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตัว Claudius ก็ไม่ใช่ตัวร้าย 100% เพราะมันก็มีส่วนดีบ้างล่ะน่า
คราวหน้าจะมาต่อตอนที่ 6 นะครับ

No comments:

Post a Comment